เทคนิคการเลือกเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

การชาร์จสำหรับรถยนต์ไฟฟ้านั้น ความเร็วในการชาร์จจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับไฟ (On Board Charging Capacity) ของรถแต่ละรุ่น

ยกตัวอย่างสำหรับ Nissan Leaf แบตเตอรี่สามารถรับไฟได้สูงสุดที่ 6.6 kW/h โดย Nissan Leaf รุ่นใหม่ที่มีขนาดแบต 40 kWh จะใช้เวลาชาร์จจนเต็ม 6 ชั่วโมง แต่หากชาร์จในรูปแบบ DC Quick Charge จะใช้เวลาเพียง 40 นาที

Nissan Leaf เป็นรถแบบ Full EV(BEV) จึงมีหัวชาร์จ ทั้งแบบ AC Normal หัวแบบ Type 1 และ DC Quick Charge หัวแบบ CHAdeMO เครื่องชาร์จที่สามารถใช้กับ Nissan Leaf ได้จึงมีทั้งแบบ AC Normal หัวแบบ Type 1 และ DC Quick Charge หัวแบบ CHAdeMO

Remark: ใครสงสัยว่าหัวชาร์จรถยนต์มีแบบไหนกันบ้าง รถแต่ละรุ่นใช้หัวชาร์จแบบใด
มาดูต่อได้ที่ ทำความรู้จักประเภทหัวชาร์จในรถแต่ละรุ่น

สำหรับเครื่องชาร์จแบบ AC Normal สามารถเลือกใช้เครื่องชาร์จ ได้ทุกขนาด ตั้งแต่ 3.7kW, 7.4kW, 11kW, 22kW
แต่หากเลือก EV Charger ที่มีขนาด 3.7kW ก็จะต้องใช้เวลาชาร์จนานขึ้น เป็น 11 ชั่วโมง ในทางกลับกันหากเลือกเครื่องชาร์จ ที่มีขนาด 11kw หรือ 22 kW เครื่องชาร์จก็จะลดขนาดไฟลงมาอัตโนมัติให้เหลือเพียงขนาดที่รถสามารถรับไฟได้คือ 6.6kW ดังนั้น เครื่องชาร์จที่เหมาะสำหรับ Nissan Leaf คือแบบ 7.4 kW นั่นเอง

enelx juicebox

ปัจจัยในการเลือกซื้อ EV Charger

ปัจจัยในการเลือกซื้อ EV Charger มี 2 ส่วนคือ งบประมาณ และการรูปแบบการใช้งาน

สำหรับงบประมาณ แน่นอนว่าเครืองชาร์จที่มีกำลังไฟสูงราคาก็จะสูงตามไปด้วย แต่สำหรับรูปแบบการใช้งาน หากซื้อไปใช้กับรถไฟฟ้าที่บ้าน ก็ให้มองถึง Charging Capacity ว่ารับไฟได้สูงสุดเท่าไหร่ ปกติแล้ว หากเป็นรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอิน(PHEV) ไม่ว่าจะเป็นของค่าย Benz BMW Porche ก็สามารถรับไฟได้เพียง 3.7kW หรือ 7.4kW เท่านั้น เพราะเป็นรถปลั๊กอิน แบตจึงมีขนาดเล็กตามไปด้วย

ในทางกลับกันหากในอนาคตคาดว่าอาจจะได้ครอบครองรถไฟฟ้าที่มี Charging Capacity สูงๆ อย่างเช่น Tesla ซึ่งรับไฟได้ถึง 11kW ก็อาจติดตั้งไว้เผื่อได้

สุดท้ายคือระบบการสื่อสารของ EV Charger หากมองว่าอนาคตจะเปิดให้มีการชาร์จแบบ Public (ให้คนอื่นสามารถมาชาร์จได้แบบมีค่าบริการ) ก็ควรเลือกเครื่องชาร์จที่รองรับ OCPP (Open charge point Protocol)

การคำนวณเวลาและค่าใช้จ่ายในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

ความเร็วในการชาร์จไฟรถยนต์นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับไฟ (On-Bard Charger) หรือ ความสามารถในการดึงพลังงานไฟฟ้าของตัวรถ สั่งการไปยังเครื่อง EV Charger ของรถยนต์แต่ละรุ่น โดยทั่วไปขนาดมีตั้งแต่ 3.6kW ถึง 22kW ซึ่งทำให้ตัวเครื่องชาร์จออกแบบมาให้มีทั้งหมด 4 ขนาด คือ 3.7 kW, 7.4 kW, 11 kW, 22 kW (มาตรฐาน) ราคาเครื่องชาร์จหลากหลายมีตั้งแต่ 15,000-80,000 กว่าบาท (แล้วแต่ยี่ห้อ)

ยกตัวอย่าง : สมมุติว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีแบตเตอรี่รับไฟสูงสุด 7.4 kW/h โดยมีขนาดแบตเตอรี่เต็ม 45 kW เราต้องใช้เวลาชาร์จจนเต็มประมาณ 6 ชั่วโมง (หรือเอา 45 หาร 7.4) โดยเราสามารถเลือกเครื่องชาร์จไฟขนาดไหนมาใช้ก็ได้ แต่ความเร็วในการชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มจะไม่เท่ากัน

กำลังไฟฟ้า (วัตต์) = แรงดันไฟฟ้า (โวลท์) * กระแสไฟฟ้า (แอมป์) | P (Watt) = V (Voltage) * I (Amp)

EV Charger แบบแขวนผนัง (Wallbox) ขนาด 32A = 230V * 32A = 7360w = 7.36 kw

สำหรับใครที่เลือกเครื่องชาร์จ EV Charger ขนาด 3.7 kW ต้องใช้เวลาชาร์จนานขึ้นเป็น 12 ชั่วโมง ในทางกลับกันหากเลือกเครื่องชาร์จขนาด 11 kW หรือ 22 kW เครื่องชาร์จก็จะลดขนาดไฟลงมาอัตโนมัติให้เหลือเพียงขนาดที่รถสามารถรับไฟได้คือ 7.4kW หมายความว่าแม้เราจะซื้อเครื่องขนาดใหญ่ แต่ถ้า On-Board Charger ของตัวรถยนต์ไม่สามารถรับได้ ก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด เพราะตัวรถรับได้แค่นี้ ดังนั้น เครื่องชาร์จที่เหมาะสมคือ 7.4 kW นั่นเอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *